เงินยังเฟ้อ แล้วคริปโตจะเฟ้อบ้างไหม ?
หัวข้อเงินเฟ้อเป็นประเด็นหลักที่ถูกพูดถึงกันทั่วโลกในปีนี้ อย่างที่เราก็จะเห็นเงินเฟ้อสหรัฐฯ 8.9% อังกฤษ 10.1% และล่าสุดตุรกีเงินเฟ้อทะลุ 79.6% ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไหนบอกว่าเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารกลางอยู่ที่ 2% ไงล่ะ ?
เรียกว่าเป็นหน้าที่หลักของธนาคารกลางอย่าง Fed, ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารอังกฤษ ที่ต้องควบคุมให้เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำแต่คงที่ เอาเป็นว่าถ้าเงินเฟ้อ 2% ได้ตามเป้าหมาย ทุกคนก็จะสามารถวางแผนกาารใช้จ่ายของตัวเองได้ แต่ถ้าเงินเฟ้อสูงเกินไป นอกจากฝั่งธุรกิจที่ไม่รู้ว่าราคาที่แท้จริงๆจะเป็นยังไงแล้ว คนทั่วไปอย่างเราๆก็วางแผนไม่ได้อีก
Bitcoin เองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่คนเรียกว่าเป็นเครื่องป้องกันเงินเฟ้ออยู่บ่อยๆ แต่ถามว่าจริงๆแล้ว Bitcoin ไม่มีเฟ้อบ้างหรอ ? คำถามก็คือ มี แต่ Bitcoin เฟ้อในลักษณะที่ถูกเขียนโปรแกรมเข้าไปใน Protocol ซึ่งตอนนี้อยู่ที่อัตรา 1.75% และจะลดลงเหลือ 0.875% ในปี 2024 แน่นอนว่า ยิ่งเกิด Halving ก็จะยิ่งลดลงไปเรื่อยๆ
แถมตัวแปรที่ส่งผลกับการเฟ้อของ Bitcoin ก็มีอย่างเดียวคือ Hash Power ของเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับค่าความยากในการขุด (Difficulty) ยิ่งเยอะก็จะยิ่งขุดยาก ซึ่งถ้าเกิดว่า Hash Rate มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ก็จะมาจากการที่เครือข่ายปรับค่าความยากอัตโนมัติเพื่อควบคุมการเฟ้อนั่นเอง
ถ้าสังเกต โมเดลของ Bitcoin จะเป็นการลดการเฟ้อไปตามกาลเวลา ไม่ใช่การบังคับค่าไว้ให้อยู่ที่ตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งและที่สำคัญ ทั้งหมดถูกเขียนไว้ในโค้ดที่ใช้ทำงานเรียบร้อยแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ธนาคารกลางหรือรัฐบาลเข้ามาควบคุมหรือตัดสินใจให้เป็นไปตามเป้าหมาย
Ethereum ก็เป็นอีกหนึ่งตัวที่กำลังจะเปลี่ยนโมเดลการเฟ้อของตัวเองไปอย่างสมบูรณ์ ในตอนนี้ (ก่อน The Merge) อัตราการเฟ้อของ ETH อยู่ที่ประมาณ 2.6% ลดลงมาเกือบครึ่งหลังจากใช้ EIP-1559 ตั้งแต่ปี 2021 ที่ผ่านมา
ที่น่าสนใจคือ หลัง The Merge อัตราการเฟ้อจะพลิกกลับไปเป็นติดลบได้ถึง -4.5% เมื่อเอาค่าธรรมเนียมเครือข่ายเข้ามาคิดด้วย เพราะ Ethereum กำลังจะเปลี่ยนจากการแจกรางวัลให้ Miner 13k ETH ต่อวัน มาเป็นรางวัลให้ Staking Pool ที่จะได้เพียง 1.3k ต่อวันเท่านั้น
แต่ก็อย่าลืมว่าหลายอย่างไม่ได้ง่ายถึงขั้นว่า เงินเฟ้อไม่ดี เงินฝืดสิดีกว่า เพราะก็มีเหตุการณ์ที่เงินฝืดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอยู่บ่อยๆ เป้าหมายที่จะควบคุมให้เงินเฟ้ออยู่ที่ 2% เป็นเพียงให้เงินมีการไหลทั้งระบบในจุดที่พอดี ไม่มากไปและไม่น้อยไปเท่านั้น
ที่น่าสนใจในตอนนี้คือ สำหรับ Bitcoin และ Ethereum เองที่มีอัตราการเฟ้อน้อยกว่า แถมยังไม่ต้องใช้ใครมาควบคุมเลยเพราะทุกอย่างเขียนอยู่บนโค้ดเป็นที่เรียบร้อย แปลว่าไม่ต้องใช้รัฐบาล, Fed, หรือธนาคารกลางอะไรเลย ถ้าบอกว่าเงินเฟ้อ 2% จะช่วยให้สามารถวางแผนอนาคตได้ จะดีกว่าหรือเปล่าถ้าเราสามารถวางแผนไปได้อีก 100 ปีด้วยตัวเลขที่เรารู้แน่นอนว่าจะเฟ้อเท่าไหร่ล่ะ ?