น่าจะเป็นทั้งข้อสงสัยและข้อถกเถียงกันมาอย่างยาวนานสำหรับคำถามนี้ในโลกของคริปโตเคอเรนซี่ ว่าถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมา รัฐบาลสามารถที่จะ “แบน” คริปโตเคอเรนซี่และ Bitcoin ได้ไหม?
ตามความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ไม่อยากแบน แต่แค่มันแบนไม่ได้ !
หลายๆ คน เมื่อเห็นข้อความนี้อาจจะแย้งขึ้นมาแทบจะทันทีว่ามันจะแบนไม่ได้ได้ยังไงในเมื่อจีนก็ได้ทำการแบนคริปโตเคอเรนซี่รวมถึง Bitcoin ให้เห็นกันไปแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่ามันก็คงเรียกว่าการแบนได้ไม่เต็มปากมากนักเพราะทุกสิ่งที่จีนทำมันคือการควบคุม กีดกัน เหมืองขุด กระดานแลกเปลี่ยน ธนาคารต่างๆ ในขอบเขตของอำนาจกฎหมายในพื้นที่ประเทศของตัวเองเท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ใช่การแบนตัวคริปโตเคอเรนซี่หรือ Bitcoin โดยตรงอยู่ดี
แถมต่อให้ควบคุมและกีดกันไปก็ยังทำธุรกรรมได้
เป็นที่รู้กันดีว่าคริปโตเคอเรนซี่โดยส่วนมากนั้นก็จะมีความเป็น Decentralized อยู่ระดับนึงถึงจะมีการออกกฎระเบียบมาควบคุมกระดานแลกเปลี่ยน หรือการทำธุรกรรมภายในประเทศ ผู้ใช้งานก็ยังสามารถหลบเลี่ยงไปใช้กระดานแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้อยู่ในประเทศนั้นๆ ได้ ยิ่งเป็น Bitcoin ที่มีความเด่นด้านการเป็น Decentralized ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
โดยถ้ากระดานแลกเปลี่ยนโดนควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังมีเว็บไซต์ที่เปิดบริการให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซี่เป็นแบบ P2P กันอยู่ หรือจะเป็นการโอนแลกเปลี่ยนจาก Crypto Wallet โดยตรงเลยก็ยังสามารถทำได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นอีกตัวเลือกนึงที่หลายๆ คนเลือกใช้กัน
**การเลือกใช้เว็บไซต์เหล่านี้ต้องมีความรู้ด้านคริปโตเคอเรนซี่อยู่พอสมควรและควรศึกษาหาข้อมูลให้แน่ใจก่อนว่าเว็บไซต์นั้นๆ มีความน่าเชื่อถือที่มากพอสำหรับการทำธุรกรรมของเรา
แล้วถ้าหลายๆ ประเทศรุมออกกฎระเบียบมาควบคุมละ?
จริงๆ ปัจจุบันหลายๆ ประเทศก็พยายามออกกฎระเบียบมาควบคุมมากขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งควบคุมด้วยกฎหมายทางด้านภาษี หรือจะเป็นการควบคุมแบบแบนให้การทำธุรกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายภายในประเทศไปเลยก็มี
แต่สุดท้ายแล้วนั้นถ้ามันตรวจสอบไม่ได้ ทางรัฐบาลของแต่ละประเทศก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้อยู่ดี
ยิ่งมีการควบคุมจำกัดหรือกีดกันก็อาจจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดีเพราะเงินในประเทศที่ออกกฎระเบียบก็จะไหลออกไปยังประเทศที่ไม่มีกฎระเบียบออกมาควบคุมนั้นเอง
ใครอยากฟังมุมมองแบบชัดๆ สามารถเข้าไปฟังได้ที่นี่เลย : https://youtu.be/zCw4KSXKwlg