หลังเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัสเซียได้บุกโจมตีหลายเมืองในยูเครน จนทำให้เหล่าประเทศนานาชาติตัดสินใจใช้มาตรการคว่ำบาตรแก่รัสเซียอย่างรุนแรง
ล่าสุดก็ได้มีข้อสรุปเรื่องการลงโทษรัสเซียเกี่ยวกับการตัดรัสเซียออกจากระบบการเงินอย่าง Swift เป็นที่เรียบร้อย
สิ่งนี้จะส่งผลกระทบอย่างไรต่อรัสเซียและนานาชาติ แล้ว Bitcoin ละจะมีแนวโน้มอย่างไรต่อไป?
แน่นอนว่าการถูกตัดออกจากระบบ Swift ที่มีการใช้งานโดยสถาบันการเงินมากกว่า 11,000 แห่งในกว่า 200 ประเทศ นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่มาก เนื่องจากระบบ Swift เปรียบเสมือนช่องทางการทำธุรกรรมทางการเงินกับประเทศต่างๆ ดังนั้นการถูกตัดออกจากระบบ Swift จึงเหมือนกับการถูกตัดออกจากเครือข่ายธนาคารขนาดใหญ่ของโลกเลยก็ว่าได้
อาจได้ผลมากกว่านี้ถ้าย้อนกลับไปสัก 10 ปี
โดยถ้าเป็นในช่วงสัก 10 ปีก่อนการโดนคว่ำบาตรและตัดออกจากระบบ Swift ที่รัสเซียกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้คงมีแรงกดดันมากพอสมควร เพราะไม่เพียงแต่รัสเซียจะไม่สามารถขายน้ำมันและพลังงานให้กับนานาชาติได้แต่ยังถูกตัดออกจากเส้นทางในการทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศอีกด้วย
แต่ปัจจุบันนั้นปัญหาทั้งหมดกลับถูกแก้ได้ด้วย Bitcoin ซึงไม่มีใครที่สามารถควบคุมหรือสั่งการมันได้อย่างแท้จริง Bitcoin สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องการทำธุรกรรมระหว่างประเทศให้กับประเทศที่ถูกแบนออกจากระบบ Swift ได้ ไม่เพียงเท่านั้นเพราะการทำธุรกรรมผ่านระบบของ Bitcoin นั้นยังมีความรวดเร็วกว่าระบบ Swift หลายเท่าตัว
ยิ่งในกรณีของทางรัสเซียนั้นปัญหาเรื่องการที่ไม่สามารถส่งออกน้ำมันและพลังงานได้ก็สามารถนำทรัพยากรเหล่านี้มาใช้ขุด Bitcoin และขายออกไปเพื่อทำกำไรแทนการส่งออกพลังงานได้
ผลเสียต่างๆ จึงอาจจะย้อนกลับไปที่สหภาพยุโรปเองที่ปัจจุบันนั้นมีการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียกว่า 40% ของปริมาณการนำเข้าทั้งหมด
และด้วยเหตุผลเหล่านี้เองที่รัสเซียนั้นน่าจะไม่ออกกฎระเบียบที่ส่งผลเสียต่อ Bitcoin ออกมามากนัก เพราะการเลือกที่จะเก็บ Bitcoin ไว้นั้นยังมีผลดีต่อรัสเซียมากกว่าผลเสียนั้นเอง
แบนรัสเซียจาก Swift ย้อนกระทบสหรัฐฯ ซะเอง
อ้างอิงข้อมูลเพิ่มเติมยังทำให้เห็นว่าสถาบันการเงินของรัสเซียจัดการธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมูลค่าประมาณ 46 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน โดย 80% เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ แล้วเรามาลองตั้งคำถามกันดูว่าถ้าเงินจำนวนนี้ไม่ได้ไหลผ่านระบบการเงินอย่าง Swift แล้ว มันจะมีช่องทางไหนให้สามารถไหลผ่านได้อีกนอกจาก Bitcoin
ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : asia.nikkei