FED ขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ตามคาด Bitcoin กลับไปแตะ $22,700 แล้ว
หลังจาก Jerome Powell ประธานของ U.S. Federal Reserve ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 Bitcoin ร่วงลงมาเกือบ $20,000 ก่อนจะกลับไปแตะ $22,700 ซึ่ง +3.6% จากเมื่อวานนี้ เป็นไปตามคาดจากตลาดที่เชื่อว่าธนาคารสหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยด้วยอัตราที่มากที่สุดในรอบ 28 ปี
$ETH พี่ใหญ่อันดับสองก็มีอาการร่วงเล็กน้อยก่อนจะกลับมา +4% ขึ้นไปถึง $1,200 ได้ ส่วน Altcoins อื่นๆก็ไม่ได้น้อยหน้า $SOL +20% แถมด้วย $UNI กับ $DOT ที่วิ่งตามกันอีก +15% จากที่ร่วงติดต่อกันมา 6 วันตามตัวเลข CPI ที่ออกมาไม่ดีเท่าไหร่ รวมไปถึงกรณีของ Celcius ที่ระงับการถอนเงินมากว่า 3 วันแล้วนตอนนี้
ความกลัว, ความไม่แน่นอน, และความสงสัย หรือที่รู้จักกันดีว่าการ FUD เป็นหัวข้อที่มาแรงมากในตลาดคริปโตช่วงนี้ฯ ตามสถานการณ์ของตลาดที่จะมีการ FUD ฝ่ายหนึ่งให้คนหวาดกลัวแล้วย้ายไปหาอีกฝ่ายหนึ่งเรื่อยๆ และเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ไม่แปลกที่คริปโตฯซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่แปลกใหม่กว่าสินทรัพย์อื่นๆ จะเป็นตัวเลือกแรกในการขายจากนักลงทุนระดับสถาบัน
ในเช้านี้ไม่ได้มีแต่คริปโตฯเท่านั้นที่เขียว ตลาดอื่นๆอย่าง Nasdaq +2.5% พอให้หายใจได้จากสัปดาห์ที่ผ่านมา S&P500 +1.4% จากที่ร่วงติดต่อกันมา 5 วันแล้วยังร่วงมากว่า 20% จากจุดสูงสุด สะท้อนความพอใจของนักลงทุนที่ FED ตัดสินใจแก้ปัญหาเงินเฟ้ออย่างจริงจัง แม้กระทั่งทองคำก็ยังปรับตัวกลับมาได้ 1.2% เช่นเดียวกัน
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ FED ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยในรอบนี้แทนที่จะรออีก 6 สัปดาห์ จนกว่าจะถึงการประชุมในครั้งหน้าก็ไม่พ้นเงินเฟ้อที่เกินคาดจากสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่ง Powell ก็เสริมหลังจบการประชุมอีกว่าในการประชุมครั้งหน้ามีความเป็นไปได้ว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.5% หรือ 0.75%
ไม่ใช่แค่ทางฝั่งของอเมริกาเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ ทางฝั่งยุโรปเองก็พึ่งมีการเรียกประชุมจากธนาคารกลางยุโรปถึงปัญหาของตลาดในวงกว้าง รวมไปถึงต้นทุนการกู้ยืมที่เพิ่มมากขึ้นในกลุ่มประเทศที่เป็นหนี้ของยุโรปเองอีกด้วย
ขณะเดียวกัน ภายในตลาดคริปโตฯยังคงจับตามอง Celcius หลังจากที่การล่มสลายของ Terra พึ่งสร้างความหวาดหวั่นให้นักลงทุนในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้น Bitcoin มีการซื้อขายอยู่ที่ราคา $40,000 บางส่วนมองว่าสถานการณ์ในปัจจุบันกำลังคล้ายคลึงกับวิกฤตการเงินในปี 2008 ช่วงที่ตลาดหุ้นตกต่ำ แม้ว่าสถานการณ์จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงระหว่างโปรโตคอลที่ถูกโจมตีและบ้านที่สูญเสียมูลค่าพื้นฐาน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือความกลัวที่แพร่หลายภายในตลาดถึงโอกาสที่เป็นที่ได้ถึงความเสี่ยง และท้ายที่สุด ก็นำไปสู่ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น