ทำไม NFTs ถึงใช้ Ethereum หาคำตอบกันได้ที่นี่
อย่างที่หลายๆคนรู้ NFTs ส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่อยู่บน Ethereum ถ้าพูดถึง ETH หรือ Doge พวกนี้คือเหรียญคริปโตเคอเรนซี ที่อยู่บน Ethereum แต่ NFTs ไม่ได้มีแค่นั้น เพราะ NFTs จะมีข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมที่สำให้สามารถใช้งานได้แตกต่างจากเหรียญสกุลเงินดิจิทัลเพิ่มมาอีก
มาตรฐานที่ควรรู้จักสำหรับ NFTs เลยก็คือ ERC-721 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการโทเคนที่ไม่เหมือนใคร นอกจากนี้ ด้วยเรื่องของความหายาก (Rarity) และอายุ (Age) มาตรฐาน ERC-721 เลยมีความแตกต่างและสามารถมีมูลค่าที่ต่างจากโทเคนอื่นจาก Smart Contracts เดียวกันได้
แต่เราจำเป็นจะต้องใช้ Ethereum สำหรับสร้าง NFTs ขึ้นมาหรือเปล่าล่ะ ? คำตอบก็คือไม่ เพราะยังมีบล็อกเชนอื่นๆอย่าง Solana (SOL), Cardano (ADA), Tezos (XTZ), BNB Chain (BNB) และ Tron (TRX) ที่ก็เป็นทางเลือกให้สามารถเข้าไปสร้าง NFTs บนบล็อกเชนเหล่านั้นได้เช่นกัน
แล้วการซื้อล่ะ จำเป็นต้องใช้ $ETH อย่างเดียวหรือไม่ ? คำตอบก็คือไม่เช่นเดียวกัน เพราะว่าแต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีการกำหนดค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันออกไป และส่วนใหญ่ก็จะเป็น Native Token ที่ใช้ในเครือข่าย อย่างแพลตฟอร์ม NFT-MAKER PRO ก็จะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ราวๆ 2 ADA ซึ่งตรงนี้ เป็นสิ่งที่ Cardano กำหนดมาเลยโดยตรง
สิ่งที่ทำให้ราคา NFTs บน Ethereum มีราคาเฉลี่ยที่สูงกว่าแพลตฟอร์มอื่นๆก็คงต้องยกความดีความชอบให้กับการที่ Ethereum เป็นผู้นำของเครือข่ายบล็อกเชนอื่นๆไม่พอ ยังเป็นจุดกำเนิดของ NFT อีกด้วย ทำให้ครีเอเตอร์หลายๆคนรักและเลือก Ethereum มากกว่าเครือข่ายอื่นๆ
ซึ่งนอกจากนี้ Ethereum ยังมีโครงสร้างด้านความปลอดภัยที่สูง และมีตลาดรองรับขนาดใหญ่ที่สามารถเติบโตไปได้อีกมาก แต่อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าจะดีไปหมดซะดีเดียว เพราะเมื่อเกิดการรับส่งปริมาณของข้อมูลเป็นจำนวนมากๆก็ทำให้เกิดการค้างของข้อมูล, ความแอดอัดของเครือข่าย ที่เป็นต้นเหตุให้ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมสูงขึ้นในที่สุด ยกตัวอย่าง NFT Marketplace ที่นิยมใช้บน Ethereum อย่างเช่น Rarible, OpenSea, และ Nifty Gateway แต่ด้วยข้อจำกัดที่ระบุไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็เริ่มมีครีเอเตอร์หลายคนหันไปใช้งานเครือข่ายอื่นๆอย่าง Solana Blockchain กันบ้างแล้ว
สิ่งที่ Solana ต่างกับ Ethereum ที่เห็นได้ชัดๆเลยก็คือกระบวนการฉันทามติที่ Ethereum ใช้ Proof-of-Work ซึ่งทำให้เครือข่ายมีความเป็น Decentralized มากขึ้นก็จริง แต่ก็มีความสามารถในการปรับขนาดได้น้อยลง ETH 2.0 จึงถูกออกแบบมาเพื่อแก้ไขปัญหาการขยายขนาดที่อาจจะทำให้ Ethereum เสียส่วนแบ่งตลาด DeFi และ NFT ไปให้กับคนอื่นๆ
ในทางกลับกัน Solana ใช้การผสมผสานระหว่าง Proof-of-Stake และ Proof-of-History ซึ่งมีความปลอดภัยน้อยกว่าก็จริง แต่ก็มีประสิทธิภาพที่มากกว่า โดยทำให้การทำธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็วและใช้ต้นทุนต่ำ ยกตัวอย่างตลาดซื้อขาย NFT ที่เด่นๆใน Solana อย่างเช่น SolSea และ Solanart
แต่ถ้าจะให้ฟันธงเลยว่าบล็อกเชนไหนที่ดีที่สุดสำหรับการทำ NFTs คำตอบของคำถามนี้ก็คงต้องย้อนกลับไปดูว่า Smart Contracts มีเสถียรภาพมากเท่าไหร่, โครงสร้างค่าธรรมเนียมของบล็อกเชนเป็นอย่างไร, มาตรการความปลอดภัย, ควาามเร็วในการทำธุรกรรม, และความเป็นไปได้ในการ Fork ทั้งหมดนี้เป็นอย่างไรบ้าง เท่านี้ ทุกคนก็น่าจะได้คำตอบในใจว่าบล็อกเชนไหนจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเราที่สุดได้แล้ว